พื้นหลักฐานอ้างอิงของประเทศไทย
การกำหนดตำแหน่งบนพื้นผิวโลกให้มีความถูกต้องนั้น
นอกจากวิธีที่ใช้ในการรังวัดต้องมีความถูกต้องสูงแล้ว
สิ่งที่มีความสำคัญไม่น้อยไปกว่ากัน คือพื้นหลักฐานอ้างอิง (reference
datum) ซึ่งใช้เป็นระบบอ้างอิงในการหาตำแหน่ง (reference
system) และโครงข่ายทางยีออเดซี (geodetic network) ซึ่งประกอบด้วยหมุดหลักฐานที่รังวัดเชื่อมโยงกันเป็นโครงข่ายและมีค่าพิกัดบนระบบอ้างอิง
โดยพื้นหลักฐานอ้างอิงมี 2 ชนิด คือ พื้นหลักฐานทางราบและพื้นหลักฐานทางดิ่ง
พื้นหลักฐานทางราบที่ใช้ในประเทศไทยมีหลายพื้นหลักฐาน
ในที่นี้จะกล่าวถึงเฉพาะ พื้นหลักฐานอินเดียน พ.ศ. 2518 และพื้นหลักฐานสากล
ซึ่งมีรายละเอียดดังนี้
พื้นหลักฐาน
Indian1975
ปี พ.ศ. 2518 องค์การแผนที่ กระทรวงกลาโหมสหรัฐอเมริกา
ได้ทำการปรับแก้และย้ายศูนย์กำเนิดของพื้นหลักฐานจากเขากะเลียนเปอร์ ประเทศอินเดีย
มาเป็นเขาสะแกกรัง จ.อุทัยธานี การปรับแก้ครั้งนี้ใช้เทคนิคการรังวัดจากดาวเทียมดอปเปลอร์จำนวน
9 สถานี ซึ่งตำแหน่งสัมพัทธ์ที่ได้จากการรังวัดดาวเทียมดอปเปลอร์
มีความถูกต้องสูงกว่าที่ได้จากงานโครงข่ายสามเหลี่ยม
เป็นจุดควบคุมโครงข่ายสามเหลี่ยมซึ่งประกอบด้วย จำนวนหมุดสามเหลี่ยมทั้งสิ้น 426
สถานี เรียกผลลัพธ์จากการปรับแก้โครงข่ายสามเหลี่ยมในครั้งนี้ว่า พื้นหลักฐาน Indian1975
และที่สำคัญพื้นหลักฐานนี้ยังเป็นพื้นหลักฐานอ้างอิงทางราบในแผนที่ L7017
อีกด้วย
พื้นหลักฐาน
WGS
84 (World
Geodetic System 1984) พื้นหลักฐานนี้อาจเรียกได้ว่าเป็นระบบพื้นหลักฐานสากล
เนื่องจากเป็นพื้นหลักฐานที่อ้างอิงทั้งโลกซึ่งพัฒนาโดยกระทรวงกลาโหมของประเทศสหรัฐอเมริกา
โดยอาศัยข้อมูลทางกราวิตี้ (Gravity Data) ครอบคลุมทั่วโลกประกอบกับข้อมูลจากการรังวัดดาวเทียมดอปเปลอร์ที่มีสถานีครอบคลุมทั่วโลก
ประโยชน์ของพื้นหลักฐานนี้เพื่อใช้พัฒนากิจการด้านอวกาศ โดยเฉพาะระบบการกำหนดตำแหน่งด้วยดาวเทียม
พื้นหลักฐานนี้ใช้จุดศูนย์กลางของโลกเป็นจุดกำเนิดคล้ายกับระบบ GRS (Geocentric Reference System) และพื้นหลักฐาน WGS84
นี้ยังมีลักษณะทางกายภาพเหมือนกับ ITRS (International
Terrestrial Reference System) และที่สำคัญจุดศูนย์กลางของโลกและจุดกำเนิดของพื้นหลักฐาน
ยังเป็นจุดศูนย์กลางของวงโคจรดาวเทียม GPS อีกด้วย
พื้นหลักฐานนี้ในปัจจุบันได้รับการยอมรับว่าเป็นพื้นหลักฐานที่มีความละเอียดถูกต้อง
และมีความน่าเชื่อถือสูง (ความคลาดเคลื่อนของตำแหน่งศูนย์กลางของโลกประมาณ +
1 เมตร) และประเทศไทยได้จัดทำแผนที่ชุดใหม่โดยใช้พื้นหลักฐานนี้อ้างอิงทางราบ คือ
แผนที่ภูมิประเทศ มาตราส่วน 1:50,000 ชุด L7018
พื้นหลักฐานทางดิ่ง
คือพื้นหลักฐานที่ใช้อ้างอิงระดับความสูง (Elevation) ซึ่งในการสำรวจและการทำแผนที่ชั้นสูงจะเป็นค่า
Orthometric Height ซึ่งในทางทฤษฎีอ้างอิงกับพื้นผิวศักย์สมดุล
(Equipotential Surface) หรือพื้นผิวระดับ (Level
Surface) ที่เรียกว่า ยีออยด์ (Geoid) โดยที่ยีออยด์ถือว่าเป็นสัณฐานของโลกอย่างแท้จริง
อันเป็นผลมาจากปรากฏการธรรมชาติ อาทิ สนามความถ่วงพิภพ เป็นสำคัญ
อย่างไรก็ตามในทางปฏิบัติ เนื่องจากการหายีออยด์ให้มีความถูกต้องสูง
กระทำได้ยากและสลับซับซ้อน ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ 6 ปี พ.ศ. 2543 – 2458 ได้มีการรังวัดระดับน้ำทะเลเป็นเวลา
5 ปี (ระยะเวลาเหมาะสมควรเป็น 19 ปี) ณ สถานีวัดน้ำ กรมอุทกศาสตร์ กองทัพเรือ
ต.เกาะหลัก อ.เมือง จ.ประจวบคีรีขันธ์ โดย Mr. S W Masterman รังวัดด้วยเครื่อง The Lord Kevin Vertical Type บันทึกการขึ้นลงของระดับน้ำทะเลแล้วมาเฉลี่ยเพื่อหาค่าระดับทะเลปานกลาง
จากนั้นจึงได้โยงค่าระดับทะเลปานกลาง (MSL)
มายังบริเวณโขดหินชายฝั่ง แล้วกำหนดให้เป็นหมุดหลักฐานอ้างอิงทางดิ่งหมุดแรกหรือเป็นจุดศูนย์กำเนิด
มีชื่อว่า “BMA.” ได้ค่า 1.4477 เมตร
และเรียกระดับทะเลปานกลาง (MSL) นี้ว่า “พื้นหลักฐานทางดิ่งเกาะหลัก 2458” จึงนิยมใช้ระดับทะเลปานกลาง
(Mean Sea Level : MSL) เป็นพื้นผิวระดับที่มีค่าระดับเป็นศูนย์
เพื่อใช้ในการอ้างอิงเพื่อหาค่าระดับความสูง เป็นพื้นหลักฐานทางดิ่งของประเทศไทยมาจนกระทั่งทุกวันนี้
อ้างอิงข้อมูลจาก :
กรมแผนที่ทหาร รวบรวมโดย ราชวัลย์ กันภัย
กลุ่มบริหารแผนที่และภาพถ่ายออร์โธสี สำนักเทคโนโลยีการสำรวจและทำแผนที่
กรมพัฒนาที่ดิน
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น