เทคนิคการรังวัดหาค่าพิกัดดาวเทียมด้วยระบบ GNSS
วิธีการรังวัดโดยใช้เทคนิคการหาค่าพิกัดแบบสัมพัทธ์โดยใช้ข้อมูลเฟสของคลื่นส่งที่ใช้กันในปัจจุบันสามารถแบ่งได้ดังนี้
อ้างอิงข้อมูลจาก : เอกสารประกอบวิชาการ การสำรวจด้วยดาวเทียม (Satellite Surveying) รวบรวมโดย ร.ท.วัลลพ ตาเขียว กรมแผนที่ทหาร
1) การรังวัดแบบสถิต (Static Survey)
เป็นการรังวัดแบบสัมพัทธ์โดยจะใช้เครื่องรับสัญญาณดาวเทียมตั้งแต่ 2
เครื่องขึ้นไป โดยที่สถานีหลัก (Base
station) จะต้องอยู่บนตำแหน่งที่รู้ค่าและถูกต้องแน่นอน
ส่วนสถานีเคลื่อนที่ (Rover
station) ตั้งไว้บนตำแหน่งที่ต้องการจะทราบค่า
วิธีนี้เครื่องรับสัญญาณทั้งสองสถานีจะต้องรับข้อมูลจากดาวเทียมกลุ่มเดียวกันและช่วงเวลาเดียวกันอย่างน้อย
4 ดวง และต้องตั้งรับสัญญาณไว้ไม่น้อยกว่า 30 นาที
เพื่อนำข้อมูลมาประมวลผลในภายหลังโดยจะได้ค่าความถูกต้องตั้งแต่ 5 มิลลิเมตร ถึง
2.5 เซนติเมตร สำหรับเส้นฐาน (Base line) ความยาวไม่เกิน 20 ถึง 30 กิโลเมตร
ระยะเวลาในการรังวัดแบบ Static สำหรับเครื่อง Single Frequency จะต้องรับสัญญาณดาวเทียมไม่น้อยกว่า 5 ดวง
มีมุมรับสัญญาณไม่น้อยกว่า 15 ํ และ PDOP น้อยกว่า 7
ตารางแสดงความยาวเส้นฐานและระยะเวลาในการรังวัดแบบสถิต(Static)
ความยาวเส้นฐาน
(Baseline Length)
|
ระยะเวลาในการรังวัด
(Observation Time)
|
น้อยกว่า
หรือเท่ากับ 3 กม.
|
15 นาที
|
4 กม.
|
20 นาที
|
5 กม.
|
25 นาที
|
6 กม.
|
30 นาที
|
7 กม.
|
35 นาที
|
8 กม.
|
40 นาที
|
9 กม.
|
45 นาที
|
10 กม.
|
50 นาที
|
มากกว่า
10 กม.
|
มากกว่า 1
ชั่วโมง
|
2) การรังวัดแบบจลน์ (Kinematic survey)
การรังวัดแบบจลน์หมายถึงวิธีการหาตำแหน่งในขณะที่เครื่องรับสัญญาณเคลื่อนที่
เป็นวิธีการที่ทำให้หาตำแหน่งของจุดจำนวนมากได้อย่างรวดเร็วโดยมีความถูกต้องอยู่ระดับเซนติเมตร ในการรังวัดเครื่องรับเครื่องหนึ่งจะถูกวางไว้ที่สถานีหลัก
(Base station) หรือจุดที่รู้ค่าแน่นอนตลอดเวลา
ส่วนเครื่องรับอีกเครื่องเรียกว่า สถานีเคลื่อนที่ (Rover Station)
จะนำไปวางไว้ตามจุดใดๆที่ต้องการทราบตำแหน่งเพียงชั่วระยะเวลาสั้นๆ
(1-2 นาที) เท่านั้น แล้วก็เคลื่อนย้ายไปยังจุดถัดไป วิธีการนี้เรียกว่า “stop and go kinematic” มีหลักการหาตำแหน่งโดยการเก็บพิกัดซ้ำๆตรงจุดเดิมแล้วทำการคำนวณหาค่าเฉลี่ย
หรืออีกวิธีหนึ่งเป็นการติดตั้งเครื่องรับไว้บนยานพาหนะแล้วเคลื่อนที่ไปเรื่อยๆ เรียกว่า “continuous
kinematic” มีหลักการหาตำแหน่งโดยการบันทึกข้อมูลอย่างต่อเนื่องไปเรื่อยๆ
และสามารถนำมาคำนวณตำแหน่งได้ทุกๆจุด ที่มีการบันทึกข้อมูลไว้
ข้อจำกัดในการรังวัดแบบจลน์อยู่ที่การปฏิบัติที่ยุ่งยากและลำบากต่อการทำงาน
ได้แก่ วิธีการเริ่มงาน (initializing a survey) และต้องรับสัญญาณดาวเทียมไม่น้อยกว่า 4 ดวงตลอดเวลา
ในขณะที่กำลังย้ายจากจุดหนึ่งไปยังอีกจุดหนึ่งหากมีการหลุดของสัญญาณก็จะต้องเริ่มกระบวนการเริ่มงาน
(initializing) ใหม่ โดยระยะเส้นฐานที่น่าเชื่อถือจะอยู่ที่ 10 ถึง 15 กิโลเมตร
3) การรังวัดแบบสถิตอย่างเร็ว (Rapid static survey)
คล้ายกับการรังวัดแบบสถิตแต่ใช้เวลาน้อยกว่าประมาณ
10 ถึง 15 นาที โดยมีความถูกต้องระหว่าง 1 ถึง 3 เซนติเมตร
ใช้กับระยะเส้นฐานที่สั้นประมาณ 5 ถึง 10 กิโลเมตร
และต้องรับสัญญาณดาวเทียมอย่างน้อย 5 ดวง ค่า GDOP
ต้องดี
โดยอัลกอลิธึมในการประมวลผลด้วยซอฟต์แวร์ก็จะแตกต่างกับการรังวัดแบบสถิตปกติ
4) การรังวัดแบบจลน์ในทันที (Real-time kinematic survey : RTK)
วิธีการนี้มักถูกเรียกว่า RTK หลักการทำงานมีความคล้ายคลึงกับวิธีการแบบจลน์
คือ ต้องใช้เครื่องรับสัญญาณอย่างน้อย 2 เครื่อง
โดยเครื่องหนึ่งจะถูกวางไว้ในตำแหน่งที่รู้ค่าแน่นอนตลอดเวลาเป็นสถานีหลัก (Base statin) ส่วนเครื่องรับเครื่องที่สองคือสถานีเคลื่อนที่ (Rover station) จะนำไปวางไว้บนตำแหน่งที่ต้องการจะทราบค่าพิกัด
แต่กรณีของวิธีการหาค่าพิกัดแบบจลน์ในทันทีนั้นเครื่องรับสัญญาณจะต้องมีการสื่อสารระหว่างเครื่องรับทั้งสองเครื่องผ่านทางคลื่นวิทยุหรือสัญญาณอินเทอร์เน็ต
ทำให้สถานีรับจลน์ (Rover station) สามารถทราบค่าพิกัดตำแหน่งที่ถูกต้องหน้างานได้ทันทีโดยไม่ต้องผ่านการประมวลผลในภายหลัง
ทั้งสองสถานีจะต้องรับข้อมูลจากดาวเทียมกลุ่มเดียวกันและช่วงเวลาเดียวกันอย่างน้อย
5 ดวง ความถูกต้องที่ได้จะอยู่ในระดับ 1 ถึง 5 เซนติเมตร
สำหรับเส้นฐานที่ยาวไม่เกิน 15 กิโลเมตร
ปัจจุบันการรังวัดแบบจลน์ในทันทีหรือการรังวัดแบบ RTK นั้นสามารถทำได้ง่ายโดยใช้ระบบเครือข่ายสถานีรับสัญญาณดาวเทียมถาวร
(Continuously Operating
Reference Station : CORS) หลักการคล้ายคลึงกับวิธีการรังวัดแบบจลน์ในทันที
แต่แตกต่างกันที่ต้องขอรหัสผู้ใช้ (user
name) จากผู้ให้บริการเครือข่าย
(ซึ่งในประเทศไทยให้บริการโดยกรมที่ดิน) โดยผู้ใช้งานใช้เครื่องรับสัญญาณเพียงเครื่องเดียวไปวางในตำแหน่งที่ต้องการทราบค่าพิกัดภายในพื้นที่ให้บริการ
วิธีนี้สามารถให้ค่าความถูกต้องในระดับ 1 ถึง 5 เซนติเมตร
ตารางแสดงความสัมพันธ์ระหว่างวิธีการรังวัด
ระยะเวลา และค่าความถูกต้องในทางราบ
วิธีการรังวัด
|
ระยะเวลา
|
ค่า Accuracy
ในทางราบ
|
Stand-alone
Position
|
ในทันที
|
มากกว่า 3 m.
|
Code
Differential
|
< 1 นาที
|
มากกว่า 1
m.
|
Static
(Phase Differential)
|
30 นาที –
1 ชั่วโมง
|
5 mm. +
1 ppm.*
|
Fast
Static (Phase Differential)
|
10 นาที –
15 นาที
|
5 mm. +
1 ppm.*
|
Kinematic (Phase Differential)
|
< 2
นาที
(ไม่รวมการทำ
Initialization)
|
1 cm. + 1 ppm.*
|
Real Time
Kinematic (Phase Differential)
|
ในทันที
|
1 cm. +
1 ppm.*
|
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น